วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

Verb to be


Verb to be มีหลักการใช้ ดังนี้
ถ้าเป็นกริยาสำคัญในประโยค มีความหมายว่า เป็น อยู่ คือ
•  ใช้วางข้างหน้า กลุ่มคำ adjective (คำคุณศัพท์)
•  ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Continuous (ประโยคที่มี กริยา ing)
•  ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Passive Voice (ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ)

หลักการใช้กับประธานในประโยค

1. ถ้าประธานที่เป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 ซึ่งได้แก่ He She It หรือ ชื่อคนคนเดียว สัตว์ตัวเดียว และสิ่งของอันเดียวที่ถูกกล่าวถึง
     Verb to be ที่ใช้คือ is เช่น

* He is a teacher.  *Sam is a singer
* She is in the room.  *My father is sleeping.
* It is a dog.  *The pencil is on the table
2. ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 1 ( ผู้พูดคนเดียว ) ซึ่งได้แก่ I  Verb to be ที่ใช้ คือ am
* I am a student.    I am under the table.
3. ประธานเป็นพหูพจน์ทุกบุรุษ ซึ่งได้แก่ We You They หรือ ชื่อคนหลาย สัตว์หลายตัว และสิ่งของหลายอันที่ถูกกล่าวถึง Verb to be ที่ใช้ คือ are เช่น
*  We are nurses.  *My father and I are in the room.
*  They are policemen.  *Suda and her friends are under the tree.
*  You are very good.  *The players are in the playground.

การสร้างประโยคที่มี Verb to be ให้เป็นประโยคปฏิเสธ . มีวิธีการดังนี้

เติม not ลงไปในตำแหน่งที่เรียงต่อจาก Verb to be หลัง is, am, are  เช่น
* He is not in the room. *I am not a child.
* They are not teachers. *Suda is not reading.
หมายเหตุ รูปย่อของ ปฏิเสธ Verb to be คือ is not ย่อเป็น isn't
       am not จะไม่ใช้รูปย่อ are not ย่อเป็น aren't

การทำประโยคที่มี Verb to be ให้เป็นประโยคคำถาม Yes No Question มีหลักการดังนี้
เอา Verb to be มาวางหน้าประโยค และเอาประธานของประโยคมาวาง เรียงต่อจาก Verb to be หลังจบประโยค ต้องใส่เครื่องหมายคำถาม เช่น He is in the room. เปลี่ยนเป็น Is he in the room ?
They are soldiers เปลี่ยนเป็น Are they soldiers?
I am a boy. เปลี่ยนเป็น Am I a boy ?

Articles


ดู Clip สอนเรื่องการใช้ Articles ได้ที่นี่ค่ะ

Clip 1 http://www.youtube.com/watch?v=8mI7rSYvxM4
Clip 2 http://www.youtube.com/watch?v=y_zD0gYy9QQ&feature=related
Clip 3 http://www.youtube.com/watch?v=DIaZkV5hcNM&feature=related

Articles แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

1.Indefinite Article ทำหน้าที่นำหน้านามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่ a , an
2.Definite Article ทำหน้าที่นำหน้าคำนามที่ชี้เฉพาะเจาะจงในสิ่งที่เรากล่าว ได้แก่ The

การใช้ a , an
1. "a"
- ใช้นำหน้านามที่ออกเสียงเป็นพยัญชนะ เช่น a dog , a man หรือ ขึ้นต้นด้วยสระแต่ออกเสียงเป็นพยัญชนะ เช่น a university, a Europian
2.  "an"
- ใช้นำหน้าคำนามที่ออกเสียงเป็นสระ เช่น an egg , an apple หรือขึ้นต้นด้วยพยัญชนะแต่ออกเสียงเป็นสระ เช่น an hour , an honest man
3. ใช้ a , an
- กับนามที่นับได้เป็นเอกพจน์ เมื่อกล่าวเป็นครั้งแรกหรือกล่าวโดยไม่ชี้เฉพาะ เช่น A bird on a tree.
- กับนามที่นับได้เป็นเอกพจน์ที่กล่าวรวมเป็นพวกเดียวกัน เช่น  A man is strong.
- กับนามที่เป็นพวกอาชีพต่างๆ เช่น a teacher , an actress
- นำหน้านามวลีเกี่ยวกับจำนวน เช่น a dozen , a hundred
- นำหน้านามที่บอกอัตราส่วนและเวลา เช่น two times a day.
- กับสำนวนการเจ็บไข้ได้ป่วย เช่น have a headache.
- ในสำนวนต่างๆเช่น It's a pity.(ช่างน่าสงสาร), in a good temper.(อารมณ์ดี),
have an opportunity.(มีโอกาส)

การใช้ The
- ใช้นำหน้านามที่มีสิ่งเดียว เช่น the sun, the world
- ใช้นำหน้านามเพื่อชี้เฉพาะ
- ใช้กับชื่อแหล่งน้ำตามธรรมชาติทั้งหลาย เช่น The Chao Phraya River ยกเว้น ทะเลสาบ และ ภูเขาลูกเดียวไม่ต้องใส่ Article เช่น Mount Everest
- ใช้หน้าชื่อหนังสือพิมพ์ และหนังสือสำคัญๆ
- ใช้นำหน้าชื่อประเทศ, อาณาจักร
-ใช้นำหน้าชื่อ โรงหนัง,โรงละคร,โรงแรม,สโมสร,สมาคม,ภัตตาคาร,สถานที่สาธารณะต่างๆและสถาบันต่างๆ ยกเว้น เมื่อชื่อนั้นใส่ s เช่น George's Hotel
- ใช้นำหน้าขั้นสุด เช่น the most beautiful.
- ใช้กับลำดับที่ เช่น the first
- ใช้กับหน้าชื่อสะพาน,อุโมงค์,หอคอย เช่น The Eiffel of Tower
- ใช้นำหน้าชื่อเครื่องดนตรีต่างๆ เช่น The piano , The trumpet
- ใช้กับชื่อภาษาต่างๆ เช่น The Thai language
- ใช้นำหน้าฤดูต่างๆที่หมายถึงช่วงเวลานั่นๆ เช่น In the summer,In the winter
- ใช้นำหน้าชื่อพิพิธภัณฑ์ และห้องสมุด
- ใช้นำหน้าชื่อเรือ เช่น The Queen Elizabeth
- ใช้นำหน้าชื่อราชวงศ์ เช่น The Chakkri Dynassty
- ใช้นำหน้าสิ่งก่อสร้าง , อนุสาวรีย์ ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
- ใช้นำหน้าคำนาม แสดงเชื้อชาติของมนุษย์โดยรวมๆ เช่น The chinese

นามต่อไปนี้ห้ามใช้ Article
1.นามที่นับไม่ได้ เช่น coffee, sugar
2.นามที่เป็นนามธรรม คือ อาการนามซึ่งกล่าวโดยทั่วๆไป เช่น honesty , beauty
3.นามพหูพจน์ทั่วไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น Boys like to play football.
4.ชื่อวิชา เช่น Science , Mathematics
5.นามที่เป็นชื่อกีฬา หรือการบันเทิง การละเล่น เช่น Football , dancing
6.นามที่เป็นชื่อทวีป,ประเทศ,เมือง,ถนน
7.ชื่อสวนสาธารณะ เช่น Lumpini park
8.ชื่อมื้ออาหาร , ฤดูกาล เช่น Breakfast , spring
9.หน้าชื่อยศ ,ตำแหน่ง เช่น President Reagan (ถ้าไม่มีชื่อตามหลังยศหรือตำแหน่งให้ใช้ the นำหน้า เช่น The Prime Minister
10.ชื่อสวนสัตว์,วงเวียน,วันสำคัญต่างๆ
11.เราไม่ใช้ Article นำหน้านามที่เป็นชื่อโรคต่างๆ เช่น Malaria,Influenza
12.หน้าชื่อมหาวิทยาลัย,วิทยาลัย,โรงเรียนและสถาบันต่างๆ เช่น Chulalongkorn University,Samsenwittayalai School
13.หน้านามต่อไปนี้ไม่ต้องมี The นำหน้ากิจกรรมที่ทำประจำเป็นปกติ ได้แก่ school,church,bed,market,prison,hospital เช่น we go to school(ไปเรียนหนังสือ),to prison(ไปติดคุกไปเป็นนักโทษ)

Noun - คำนาม


ดู Clip อธิบายเรื่อง Noun ได้ที่นี่ค่ะ
Clip 1  http://www.youtube.com/watch?v=B_r14Tb0y7E
Cilp 2  http://www.youtube.com/watch?v=zBV4VczrSCw

คำนาม คือ อะไร ?
ก่อนอื่นลองหลับตาสักสองสามวินาที แล้วลืมตาขึ้น…………..หลังจากนั้นลองมองไปรอบ ๆ ตัวดูซิ


เห็นอะไรบ้างเอ่ย ?? สิ่งที่เราเห็น และจับต้องได้ทั้งหมดนั่นแหละคือคำนาม เช่น


cat แค็ท แมว


car คา รถยนต์


boy บอย เด็กชาย


school สกูล โรงเรียน


สรุปแล้ว คำนามคือ คำที่ใช้แทนคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่


คำนามของภาษาไทยและภาษาอังกฤษต่างกันตรงไหน ?นี่แหละคือประเด็นสำคัญที่สร้างความปวดหัวให้กับคนไทย เพราะว่าคำนามในภาษาไทยนั้น นามที่เป็นเอกพจน์และพหูพจน์ เป็นตัวเดียวกัน เช่น เป็ดหนึ่งตัว เป็ดสิบตัว ในขณะที่ภาษาอังกฤษนั้นบางคำก็ไม่เปลี่ยน บางคำเติม s บางคำเติม es บางคำตัด y ออกแล้วเติม ies และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเราจะได้เรียนรู้กันอย่างแจ่มแจ้งเลย


เดี๋ยวก่อน เอกพจน์และพหูพจน์คืออะไร ?
พจน์ แปลว่าคำพูด หรือถ้อยคำ


เอก แปลว่า หนึ่ง


พหู แปลว่า หลาย


ในทางไวยากรณ์นั้น เอกพจน์หมายถึง จำนวนเพียงจำนวนเดียว หรือพูดสั้น ๆ ก็คือ ตัวเดียว อันเดียวนั้นแหละ ส่วนพหูพจน์ก็ตรงกันข้ามกัน คือจำนวนมาก หรือหลายตัว หลายอันนั่นเอง


ดังนั้น คำนามเอกพจน์ หมายถึงคำนามที่มีเพียงจำนวนเดียว (อันเดียว) คำนามพหูพจน์ คือคำนามที่มีหลายจำนวน (หลายอัน)


คำนามเอกพจน์และพหูพจน์ต่างกันอย่างไร
คำนามเอกพจน์และพหูพจน์ ในภาษาอังกฤษค่อนข้างสร้างความสับสน ให้กับนักเรียนไทยค่อนข้างมาก เพราะคำนามบางคำเติม s บางคำ เติม es หรือบางคำก็คงรูปไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องศึกษาในระดับสูง ๆ ต่อไป


สำหรับคำนามใน Level 1 นี้ ขอให้นักเรียนได้เรียนรู้คำนามเอกพจน์ และพหูพจน์ในระดับง่าย ๆ ก่อน


คำนามเอกพจน์คือ คำนามที่ไม่มีการเติม S


ส่วนคำนามพหูพจน์ คือคำนามที่มี S ต่อท้าย


ความหมายของคำนามเอกพจน์ และพหูพจน์ต่างกันหรือเปล่า
ต่างกันครับ เวลาที่นักเรียนแปลเป็นไทยให้แปลดังนี้


cat ให้แปลว่า แมว เช่น a cat แมว หนึ่งตัว (การใช้ a/ an จะได้เรียนบทถัดไป) my cat แมวของฉัน เป็นต้น


ส่วน cats ให้แปลว่า แมวหลายตัว แต่ถ้ามีคำบ่งบอกจำนวนอยู่ด้วย คำว่าหลายตัวไม่ต้องแปลก็ได้ครับ เช่น ten cats แมวสิบตัว many cat แมวหลายตัว (คำว่า many แปลว่า หลายอยู่แล้ว )


ส่วนคำอื่น ๆ ก็ทำนองเดียวกัน


ตัวอย่างประโยคคำนามเอกพจน์ และพหูพจน์
A boy is swimming.
อะ บอย ยิส สวิมมิง (เด็กชายคนหนึ่งกำลังว่ายน้ำ)


Boys are swimming.
บอยส ซา สวิมมิง (เด็กชายหลายคนกำลังว่ายน้ำ)


I have one cat.
อาย แฮฝ วัน แค็ท (ฉันมีแมวหนึ่งตัว)


You have five cats.
ยู แฮฝ ไฟฝ แค็ทส (คุณมีแมวห้าตัว)


My house is small.
มาย เฮาส ซิส สมอล (บ้านของฉันหลังเล็ก)


There are ten houses in town.
แด รา เท็น เฮาสิซ ซิน ทาวน (มีบ้านสิบหลังในเมือง)


สังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างคำนามของภาษาไทย กับภาษาอังกฤษหรือยังเอ่ย